รูปแบบการปกครอง
|
ประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุข มีอำนาจเบ็ดเสร็จ
|
|
รัฐธรรมนูญ
|
ฉบับปัจจุบันประกาศใช้เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2535 (ค.ศ.1992)
|
|
การแบ่งส่วนการปกครอง
|
|
ฝ่ายบริหาร
|
ประธานาธิบดี
|
เป็นประมุข มาจากการเลือกตั้ง ในการลงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2545 ขยายวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีจาก 5 ปี เป็น 7 ปี
|
|
นายกรัฐมนตรี
|
เป็นหัวหน้ารัฐบาลมาจากการเสนอชื่อจากรัฐสภาตามการเสนอแนะของประธานาธิบดี
|
|
|
|
|
ฝ่ายนิติบัญญัติ
|
ระบบสองสภา (Bicameral Parliament) โดยรัฐสภา (Supreme Assembly หรือ Oliy Majlis) ประกอบด้วย (1) สภาผู้แทนราษฎร (Legislative chamber) ประกอบด้วยสมาชิก 120 คนมาจากการเลือกตั้งและ (2) วุฒิสภา (Senate) ประกอบด้วยสมาชิก 100 คน 84 คนจะมาจากการเลือกตั้งท้องถิ่น อีก 16 คนแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี
|
|
ฝ่ายตุลาการ
|
ศาลฎีกา (Supreme Court) เป็นศาลสูงสุด ผู้พิพากษาได้รับการเสนอชื่อจากประธานาธิบดีและรับรองโดยรัฐสภา
|
|
การแบ่งเขตการปกครอง
|
อุซเบกิสถานแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 1 สาธารณรัฐปกครองตนเอง คือ Republic of Karakalpakstan และ 12 มณฑล ได้แก่ Andijan, Bukhara Jizzak, Kashkadarya, Navoiy, Namangan, Samarkand, Surkhandarya, Khoresm, Ferghana, Syrdarya และ กรุง Tashkent ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอุซเบกิสถาน
|
|
ผู้นำสำคัญทางการเมือง
|
|
ประธานาธิบดี
|
นาย Islam A. Karimov (อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอุซเบกิสถาน) ได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2534 และจากผลการหยั่งเสียงประชามติในปี 2539 ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งไปจนถึงปี 2543 ต่อมาได้รับเลือกตั้ง ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2543 ประธานาธิบดี Karimov จะครบวาระการดำรงตำแหน่งใน เดือนธันวาคม 2549 |
|
นายกรัฐมนตรี
|
นาย Shavkat Mirziyayev
|
|
|
ข้อมูลเศรษฐกิจ (2004)
|
|
GDP
|
12 พันล้าน USD
|
|
GDP Growth
|
ร้อยละ 8
|
|
GNI per capita
|
460 USD
|
|
อัตราเงินเฟ้อ
|
ร้อยละ 3 (2004)
|
|
ประชากรที่มีชีวิตต่ำกว่าระดับความยากจน*
|
ร้อยละ 28 (2002)
|
|
อัตราการว่างงาน
|
ร้อยละ 0.6 (2004)
|
|
ทรัพยากร
|
ก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเลียม ถ่านหิน ทองคำ ยูเรเนียม เงิน ทองแดง ตะกั่ว สังกะสีและทังเสตน
|
|
ผลิตภัณฑ์ทางเกษตรกรรม
|
ฝ้าย ผักและผลไม้ (แตงไทย แตงโม แอพริคอท องุ่น แพร์ เลมอน) ปศุสัตว์
|
|
อุตสาหกรรม
|
สิ่งทอ อาหารแปรรูป เครื่องจักร โลหะ ทอง ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ เคมีภัณฑ์
|
|
มูลค่าการส่งออก (FOB)
|
3.7 พันล้าน USD (2004)
|
|
สินค้าส่งออก
|
ฝ้าย 41.5 % ทอง 9.6 % ก๊าซธรรมชาติ ปุ๋ย โลหะเหล็ก สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์อาหารรถยนต์ ยานพาหนะ
|
|
ตลาดส่งออกที่สำคัญ
|
รัสเซีย 22.4 % จีน 9.3 % ยูเครน 7.5 %ทาจิกิสถาน 6.2 % บังคลาเทศ 4.7% ตุรกี 4.6 %
|
|
มูลค่าการนำเข้า (FOB)
|
2.82 พันล้าน USD (2004)
|
|
สินค้านำเข้าสำคัญ
|
เครื่องมือเครื่องจักร อาหาร เคมีภัณฑ์ โลหะ รองเท้า
|
|
แหล่งนำเข้าสินค้า
|
รัสเซีย 22.3% สหรัฐอเมริกา 11.4% เกาหลีใต้ 11% เยอรมนี 9.5% จีน 6.5% ตุรกี 6.1%
|
|
หนี้ต่างประเทศ
|
5.184 พันล้าน USD (ประมาณการปี 2005)
|
|
*ที่มาข้อมูลเศรษฐกิจ : EIU, IMF, CIA The World Factbook
|
|
|
รู้เรื่องอุซเบกิสถาน * * * * *
|
|
ชาวอุซเบก (Uzbeks) มาจากไหน ?
|
|
|
|
ชาวอุซเบก มีต้นกำเนิดมาจากเผ่าพันธุ์ชาวมองโกลเร่ร่อน ซึ่งได้เข้ามาแต่งงานกับชาวเติร์กพื้นเมืองของภูมิภาคเอเชียกลางในช่วงศตวรรษที่ 13 สันนิษฐานว่า คำว่า “อุซเบก” (Uzbek) มาจากชื่อของ Uzbek Khan ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเจงกิซ ข่าน และปกครองอาณาจักรมองโกลในส่วนที่เรียกว่า Golden Horde ในเอเชียกลาง อุซเบกิสถานมีสถานะเป็นรัฐชาติในศตวรรษที่ 18 จากการรวมตัวของเจ้าผู้ครองแคว้นบุคารา ซามาร์คานด์และโคคานด์เข้าด้วยกัน และสถาปนาอาณาจักร Turkestan ขึ้น ต่อมาในยุคของการล่าอาณานิคม รัสเซียเข้ามาครอบครองอุซเบกิสถานได้ส่วนหนึ่งบริเวณพื้นที่ระหว่างแม่น้ำ Syr-Darya กับ Amu-Darya ภายหลังที่เอาชนะเจ้าผู้ครองแคว้นโคคานด์ได้สำเร็จในสงครามเมื่อปีค.ศ.1876
|
|
อุซเบกิสถานภายใต้การปกครองสหภาพโซเวียต
ภายหลังการปฎิวัติสังคมนิยม ในปี ค.ศ.1917 ได้มีการจัดตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตเติร์กสถานขึ้นใน ปี ค.ศ. 1918 ต่อมาภายหลังที่ได้ปรากฏรัฐชาติใหม่ ได้แก่ คาซัคสถานและเติร์กเมนิสถานในภูมิภาคเอเชียกลาง สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตเติร์กสถานก็ได้สลายตัว และสหภาพโซเวียตก็ได้จัดตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมอุซเบกิสถานขึ้นแทนโดยรวมเอาทาจิกิสถานเข้ามาไว้เป็นส่วนหนึ่งด้วย และในปี ค.ศ. 1925 อุซเบกิสถานก็ได้เป็นสาธารณรัฐหนึ่งในสหภาพโซเวียตอย่างสมบูรณ์
ในสมัยสหภาพโซเวียต อุซเบกิสถานถูกกำหนดให้เป็นศูนย์กลางการพัฒนาอุตสาหกรรมของภูมิภาคเอเชียกลาง ซึ่งในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลมอสโกได้ย้ายอุตสาหกรรมทั้งระบบไปไว้ยังเขตเทือกเขาอูราลและ อุซเบกิสถานเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายอันจะเกิดขึ้นได้จากการรุกรานของนาซีเยอรมัน อุซเบกิสถานจึงเป็นสาธารณรัฐที่มีระดับการพัฒนาทางอุตสาหกรรมสูงที่สุดในเอเชียกลางและสูงเป็นอันดับที่ 4 ของสหภาพโซเวียต รองจากรัสเซีย ยูเครนและเบลารุส
ถึงแม้อุซเบกิสถานจะมีฐานะเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของโซเวียตในภูมิภาคเอเชียกลาง แต่รัฐบาลโซเวียตก็กำหนดกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจของอุซเบกิสถานให้เป็นประเทศผู้ป้อนวัตถุดิบประเภทฝ้ายและแร่ทองคำให้แก่อุตสาหกรรมแปรรูปในรัสเซียและยูเครน การสร้างระบบเกษตรกรรมการปลูกฝ้ายขนาดใหญ่ (plantation) ทำให้อุซเบกิสถานประสบปัญหาระบบนิเวศน์ กล่าวคือ น้ำจากทะเลสาบ Aral ซึ่งเป็นแหล่งชลประทานให้แก่ไร่ฝ้ายนั้น มีระดับลดลงไปถึงครึ่งหนึ่งและก่อความเสียหายให้แก่ระบบชลประทานของประเทศในปัจจุบัน
|
|
อุซเบกิสถานหลังได้รับเอกราชจากสหภาพโซเวียต
หลังจากที่สาธารณรัฐอุซเบกิสถานได้ประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2534 รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศโดยแนวทางประชาธิปไตยตามแบบของตนเอง โดยได้บัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญและได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง แม้ว่าประมุขของประเทศจะยังคงเป็นประธานาธิบดี Islam Karimov ซึ่งเป็นผู้นำสายคอมมิวนิสต์เดิม แต่แนวนโยบายแบบเสรีนิยมประชาธิปไตยก็ได้มีการพัฒนาขึ้นตามลำดับ ประชาชนสามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ทำกิน สามารถเป็นเจ้าของกิจการ และเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต นอกจากนี้รัฐบาลได้ส่งเสริมการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ อย่างไรก็ตาม ปัญหาทางเศรษฐกิจที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้น
ทำให้รัฐบาลยังคงดำเนินนโยบายที่ค่อนข้างผูกขาดอำนาจ จนก่อให้เกิดกลุ่มต่อต้านรัฐบาลหลายกลุ่ม รวมทั้งมีความขัดแย้งในหมู่ชนกลุ่มน้อยชาวคาซัค และชาวทาจิก เป็นระยะ ๆ
แม้ว่าการเมืองของอุซเบกิสถานจะเป็นแบบศูนย์รวมอำนาจโดยพรรคเสรีประชาธิปไตย (PDP) แต่อำนาจที่แท้จริงนั้นอยู่ในการควบคุมของประธานาธิบดี Karimov ซึ่งได้รับเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2534 ซึ่งตามวาระนั้นจะสามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้เพียงวาระละ 5 ปี แต่จากผลการหยั่งเสียงประชามติ ทำให้ประธานาธิบดี Karimov สามารถดำรงตำแหน่งได้จนถึงปี 2543 และได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สองเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2543 ทั้งนี้นักวิเคราะห์การเมืองวิจารณ์ว่า การเลือกตั้งและการหยั่งเสียงประชามติยังไม่มีความโปร่งใสเพียงพอ
แนวทางการปฏิรูปประเทศภายใต้การนำของประธานาธิบดี Karimov ได้คำนึงถึงเสถียรภาพทางการเมือง เป็นหลัก โดยมีระบบพรรคการเมืองเดียวเป็นฐาน และแยกการเมืองและศาสนาอิสลามออกจากกันอย่างเด็ดขาดในด้านเศรษฐกิจ ดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจโดยอาศัยการแทรกแซงของรัฐเป็นเครื่องมือสำคัญ โดยใช้แบบจำลอง ของเยอรมันภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นแนวทาง
อุซเบกิสถานมีนโยบายการเมืองแบบชาตินิยม ด้วยคำขวัญว่า “อุซเบกิสถานจะต้องเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต” และพยายามสร้างบทบาทนำในภูมิภาคนี้
ภายหลังการแยกตัวจากสหภาพโซเวียต นับว่ารัฐบาลของอุซเบกิสถานมีความมั่นคงมากที่สุดรัฐบาลหนึ่งในสาธารณรัฐมุสลิมเอเชียกลาง รัฐบาลอุซเบกิสถานได้ดำเนินนโยบายปราบปรามฝ่ายตรงข้ามอย่างเฉียบขาด ด้วยการขจัดการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองนิยมศาสนาอิสลามหัวรุนแรงภายในประเทศและจากภายนอกประเทศ โดยเฉพาะจากทาจิกิสถาน นอกจากนี้ อุซเบกิสถานมีพื้นฐานระบบเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับประเทศเอเชียกลางทั่วไป สืบเนื่องจากในสมัยสหภาพโซเวียต อุซเบกิสถานได้รับการวางรากฐานการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยทางอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและการบินซึ่งช่วยให้อุซเบกิสถานสามารถพัฒนาความร่วมมือทางการบินกับต่างประเทศก่อนประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียกลาง และเอื้ออำนวยต่อการรองรับการลงทุนจากต่างประเทศซึ่งใช้เทคโนโลยีระดับสูงได้โดยง่าย
|
|
อุซเบกิสถานในปัจจุบัน
สถานการณ์ทางการเมือง
ประธานาธิบดี Karimov ยังคงใช้ความเข้มงวดในการควบคุมสถานการณ์ทางการเมือง โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง มีการควบคุมการแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ของสื่อมวลชน ทำให้อุซเบกิสถานมีภาพลักษณ์ทางลบในด้านการเคารพสิทธิมนุษยชนในสายตาของรัฐบาลประเทศตะวันตกซึ่งไม่เห็นด้วยกับการจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชนดังกล่าว
สถานการณ์ความไม่สงบในอุซเบกิสถานมีความรุนแรงมาก โดยเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2547ขึ้นได้เกิดเหตุระเบิดพลีชีพและการปะทะกันระหว่างกองกำลังของรัฐบาลกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่กรุงทาชเคนต์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 23 คน ทั้งนี้ แม้รัฐบาลจะพุ่งเป้าสาเหตุและผู้กระทำผิดไปที่การก่อการร้ายโดยขบวนการมุสลิม หัวรุนแรงกลุ่ม Hizb-ut-Tahir ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับกลุ่ม Al- Qae’da และเคยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทาลีบันในอัฟกานิสถานมาก่อน รวมทั้งเคยเป็นแกนนำในการลอบวางระเบิดสังหารประธานาธิบดี Islam Karimov 2 ครั้งในช่วงปี 2543 อย่างไรก็ตาม สาเหตุหนึ่งของเหตุการณ์รุนแรงครั้งนี้ มีรากลึกลงไปถึงความไม่พอใจและปฏิกิริยาของประชาชนที่มีต่อระบบการเมืองการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยของรัฐบาลประธานาธิบดี Karimov รวมถึงการ ฉ้อราษฎร์บังหลวงในวงรัฐบาลด้วย ทั้งนี้ ความไม่พอใจดังกล่าวสะท้อนออกมาโดยการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มมุสลิมต่างๆ ในประเทศ โดยในช่วงแรกเป็นการเคลื่อนไหวโดยสันติและมีเป้าหมายเพื่อประเด็นทางสังคม และต่อมาได้เพิ่มระดับเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งเมื่อกลุ่มมุสลิมต่างๆ ถูกปราบปรามโดยรัฐบาลซึ่งไม่สนับสนุนระบบการเมืองแบบหลายฝ่ายหนักขึ้นเรื่อยๆ จึงเปลี่ยนการเคลื่อนไหวโดยสันติเป็นปฏิบัติการด้วยกำลังอาวุธโดยได้รับการสนับสนุนจากขบวนการมุสลิมนอกประเทศ
เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2548 ได้มีการประท้วงรัฐบาลที่เมือง Andijan ราว 200 ก.ม.จากกรุงทาชเคนต์ และต่อมาที่เมือง Korasuv ในเขตหุบเขา Ferghana ทางภาคตะวันออกใกล้พรมแดนคีร์กีซสถาน ซึ่งเป็นเขตที่ถูกจับตามองจากทางการอุซเบกิสถาน เนื่องจากรัฐบาลเชื่อว่ามีกลุ่มมุสลิมที่ต่อต้านรัฐบาลและมีแนวความคิดที่จะแยกตัวเป็นอิสระ แหล่งข่าวต่างๆ เชื่อว่า การประท้วงมีสาเหตุจากความไม่พอใจการบริหารประเทศของประธานาธิบดี ที่ละเลยต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ในการปะทะกันของกองทัพของรัฐบาลและผู้ชุมนุมประท้วงเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตราว 750 คนและบาดเจ็บอีกนับพันคน (ตัวเลขทางการมีผู้เสียชีวิต 187 คน) ซึ่งรัฐบาลอุซเบกิสถานได้กล่าวหากลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง (Hizb ut-Tahrir) ว่าอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุจลาจลดังกล่าว และเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 ศาลสูงสุดของอุซเบกิสถานได้ตัดสินจำคุกผู้ต้องหา 15 คน ซึ่งรัฐบาลกล่าวหาว่ามีส่วนก่อเหตุความไม่สงบที่เมือง Andijan ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดให้การสารภาพ โดยแหล่งข่าวต่างๆ เชื่อว่ากระบวนการตัดสินไม่โปร่งใส และน่าจะเป็นเพียงการจัดฉากของฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น
หลังจากที่สหรัฐฯ ลังเลที่จะแสดงท่าทีในเรื่องนี้ เนื่องจากความร่วมมือด้านการทหารที่มีอยู่ แต่ต่อมาสหรัฐฯ EU และ OSCE ได้เรียกร้องให้องค์การนานาชาติเข้าไปสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ประธานาธิบดี Karimov ปฏิเสธและยืนยันไม่ให้มีการสอบสวนดังกล่าว เมื่อเดือนกรกฎาคม 2548 ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากองค์การสหประชาชาติที่สหรัฐฯ เป็นแกนนำได้ช่วยเหลือนำผู้ลี้ภัยชาวอุซเบกที่ลี้ภัยไปยังคีร์กีซสถานส่งต่อไปยังประเทศโรมาเนีย รัฐบาลของประธานาธิบดี Karimov ได้ออกคำสั่งให้ถอนฐานทัพของสหรัฐที่ประจำอยู่ที่เมือง Karshi-Khanabad ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านชายแดนติดกับอัฟกานิสถานออกจากอุซเบกิสถานภายในสิ้นปี 2548 เมื่อเดือนตุลาคม 2548 ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของ EU ได้มีมติให้ใช้มาตราการคว่ำบาตรกับอุซเบกิสถาน โดยจะงด ค้าอาวุธ ลดเงินทุนช่วยเหลือและระงับโครงการบางส่วนของThe EU-Uzbek Partnership and Cooperation Agreement (PAC) รวมทั้งงดการตรวจลงตราแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอุซเบกิสถานอีกสิบสองคนด้วย
สำหรับรัสเซียได้แสดงการสนับสนุนอุซเบกิสถานในเรื่องนี้มาโดยตลอด โดยเชื่อว่าการจลาจลที่เมือง Andijan มีผู้อยู่เบื้องหลังไม่ใช่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจต่อรัฐบาลต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมอย่างที่ประเทศส่วนใหญ่เข้าใจกัน โดยเมื่อวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2548 ประธานาธิบดี Karimov เยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ โดยได้ลงนามความร่วมมือทางการทหารร่วมกัน ซึ่งรวมถึงการอนุญาตให้ใช้อาวุธของตนในเขตแดนของกันและกัน และการช่วยเหลือทางการทหารต่อกันในกรณีที่ถูกรุกรานด้วย
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
ภายหลังการประกาศเอกราชในปี 2534 รัฐบาลพยายามคงระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีการอุดหนุนตลาดและการควบคุมราคาสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของอุซเบกิสถาน ได้แก่ ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ทองคำและเงิน และในด้านเกษตรกรรม ฝ้ายยังเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ แต่ภายหลังจากที่ราคาฝ้ายในตลาดโลกตกต่ำ ตลอดจนการที่อุซเบกิสถานประสบปัญหาประเทศลูกค้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติไม่สามารถชำระเงินได้ ทำให้ อุซเบกิสถานประสบกับสภาวะเงินเฟ้ออย่างหนัก รัฐบาลจึงหันมาดำเนินมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจในปี 2537 โดยลดการควบคุมเศรษฐกิจโดยกลไกของรัฐ และส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปเศรษฐกิจยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เนื่องจากอุซเบกิสถานมีนโยบายเน้นความเป็นชาตินิยม จึงเป็นผลให้ถูกมองว่าเป็นประเทศที่ค่อนข้างดำเนินนโยบายแบบโดดเดี่ยว มีระบบเศรษฐกิจที่ยังไม่โปร่งใสและมีความล่าช้าในการเปิดเสรี และเป็นคู่แข่งในด้านการแข่งขันเพื่อการยอมรับทางการเมืองในระดับภูมิภาค รวมทั้งแข่งขันในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติกับคาซัคสถานซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและสถานะทางการเมืองที่ใกล้เคียงกันมาตลอด นอกจากนี้ ปัจจุบันธุรกิจส่วนใหญ่ของประเทศเป็นธุรกิจผูกขาดที่ดำเนินการโดยเครือข่ายของบุคคลในตระกูลและกลุ่มผลประโยชน์ของบุคคลในรัฐบาล อีกทั้งระบบการจัดเก็บภาษียังไม่โปร่งใส ตลอดจนการกระจายรายได้ไม่ถึงประชาชนอย่างแท้จริง ทำให้อุซเบกิสถานมีจำนวนประชากรที่ยากจนมากกว่าประเทศใดๆ ในเอเชียกลางรองลงมาจากทาจิกิสถาน
ในปี 2548 อุซเบกิสถานมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 7 ซึ่งมาจากการเติบโตของอุตสาหกรรมในสาขาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อของประเทศสูงขึ้นเป็นร้อยละ 7.8 ตามการขยายตัวของการส่งออกน้ำมันที่มีราคาเพิ่มขึ้นตามตลาดโลก รัฐบาลของอุซเบกิสถานพยายามพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยเร่งดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ พัฒนาอุตสาหกรรมที่หลากหลายเพื่อลดปัญหาการว่างงาน
อย่างไรก็ดี ในด้านการคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติก อุซเบกิสถานมีความได้เปรียบในด้านการเป็นเส้นทางผ่านและเชื่อมโยงการติดต่อ (cross road) ทั้งระหว่างภูมิภาคเอเชียกลาง และระหว่างตะวันตกและตะวันออก แม้ว่าอุซเบกิสถานจะไม่มีทางออกสู่ทะเลแต่ก็มีเส้นทางคมนาคมสำหรับรถยนต์และรถไฟที่เชื่อมโยงการขนถ่ายสินค้าไปได้ทั่วภูมิภาค อีกทั้งเป็นชุมทางการขนส่งทางอากาศโดยเฉพาะเที่ยวบินจากยุโรปเชื่อม
ต่อไปเอเชีย
อุซเบกิสถานมีจุดแข็งที่สำคัญคือเป็นตลาดขนาดใหญ่เป็นลำดับ 3 ของกลุ่มประเทศ CIS และมีความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตรโดยเฉพาะพื้นที่ตอนกลางและตอนใต้ซึ่งเป็นที่ราบลุ่ม อีกทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและน่าสนใจ ได้แก่ เมือง Samarkand , Bukara และ Khivaซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมบนเส้นทางสายไหมในอดีต
|
|
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอุซเบกิสถาน : เส้นทางสายไหม (The Silk Routes)
เส้นทางสายไหม คือเส้นทางการค้าทางบกโบราณที่เกิดขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล เชื่อมระหว่างยุโรปกับเอเชีย จากเมืองฉางอันหรือซีอันในจีนปัจจุบัน ไปสู่กรุงคอนแสตนติโนเปิล ผ่านดินแดนส่วนใหญ่ในอุซเบกิสถาน และเอเชียกลางอื่นๆ เช่น อัฟกานิสถาน คีร์กีซสถาน เติร์กเมนิสถาน คาซัคสถาน
ทาจิกิสถาน เป็นต้น เป็นเส้นทางการค้าที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงกันหลายสายคล้ายใยแมงมุม พ่อค้าและขบวนคาราวานได้นำสินค้าที่มีชื่อที่สุดคือ ผ้าไหม จากจีนได้เข้าสู่ยุโรปในสมัยโรมันโดยผ่านเส้นทางเหล่านี้ ทำให้
ผ้าไหมจากเอเชียกลายเป็นสินค้าหายากที่มีราคาในโรม อย่างไรก็ดี ชื่อ “The Silk Roads “ หรือ “The Silk Routes” มิได้มีต้นกำเนิดมาจากชาวโรมัน แต่นักวิชาการชาวเยอรมันชื่อ นาย Baron Ferdinand von Richthofen von Richthofen เป็นคนแรกที่บัญญัติคำเรียกเส้นทางการค้าโบราณเส้นนี้ว่า เส้นทางสายไหม ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับและถูกใช้เรียกอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่ 19
เส้นทางสายไหมโบราณนี้รุ่งเรืองที่สุดในศตวรรษที่ 8 นอกจากผ้าไหมแล้ว ขบวนพ่อค้าคาราวานยังได้นำสินค้าอื่นๆ ที่มีค่าจากเอเชียไปขายในยุโรป อาทิ ทองคำ งาช้าง อัญมณี และนำสินค้าขึ้นชื่อจากยุโรป ได้แก่ ขนสัตว์ หยก เครื่องทองเหลือง เหล็ก เข้ามาในเอเชีย พร้อมกับขบวนคาราวาน ได้เกิดการแลกเปลี่ยนอารยธรรมระหว่างเอเชีย-ยุโรป รวมถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีในการผลิตกระดาษ ดินระเบิด เข็มทิศ รวมถึงลูกคิด ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของการผลิตคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ศาสนาพุทธจากอินเดียก็อาศัยเส้นทางสายไหมนี้เขาสู่เอเชีย ทั้งจีน เกาหลี พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา และไทย เช่นเดียวกันชาวเปอร์เซียที่นำเอาศาสนาอิสลามเข้ามาในบริเวณเอเชียกลางถึงเอเชียตะวันออก
เส้นทางสายไหมในส่วนที่ผ่านอุซเบกิสถาน ทำให้เกิดเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าสำคัญขึ้นหลายเมือง ได้แก่ ซามาร์คานด์ (Samarkand) บุคคารา (Bukhara) และ คีวา (Khiva)
|
|
|
|
สถานการณ์ด้านสังคม ปัญหาความยากจน การว่างงาน ระบบสุขอนามัยที่ไม่ได้มาตรฐาน และยาเสพติด ปัญหาสภาวะแวดล้อมด้านทรัพยากรน้ำ เป็นปัญหาสำคัญในอุซเบกิสถาน
|
|
|
|
|