รัสเซีย

Country Profile : Russia

 

 

 

 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

ข้อมูลทั่วไป

 
ชื่อทางการ

สหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation) ตั้งแต่ปีค.ศ. 1990 (จักรวรรดิ์รัสเซีย-จนถึงปีค.ศ. 1917               สาธารณรัฐสังคมนิยมสหภาพโซเวียตรัสเซีย ระหว่างปีค.ศ. 1918-1922  สหภาพโซเวียต ระหว่าง ปีค.ศ. 1922-1990)

 
พื้นที่   
17,075,4000 ตร.กม. คิดเป็นร้อยละ 11.5 ของพื้นที่โลกทั้งหมด  ใหญ่กว่าสหรัฐฯประมาณ 1.8 เท่า  และใหญ่กว่าไทย 35 เท่า
 
เมืองหลวง  
 กรุงมอสโก Moscow  (อ่านออกเสียงตามที่ราชบัณฑิตยสถานกำหนด) และอ่านว่า /มัซ-ค-วา/ ตามภาษารัสเซีย
 
ภูมิศาสตร์

- มีดินแดนคลุม 2 ทวีป  ได้แก่ทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย โดยพื้นที่มากกว่า 2 ใน 3 ของประเทศอยู่ในทวีปเอเชีย 
- มีพรมแดนติดกับ 14 ประเทศ
ตอนเหนือติดกับนอร์เวย์  ฟินแลนด์  เอสโตเนีย  ลิธัวเนีย และลัตเวีย
ทางตะวันตก
ติดกับเบลารุสและโปแลนด์ทางเขตคาลินินกราด (คาลินินกราด (Kaliningrad) - ดินแดนของรัสเซียที่อยู่นอกพื้นที่ของประเทศ โดยมีพื้นที่ของประเทศโปแลนด์ และเบลารุสคั่นกลาง)
ทางตะวันตกเฉียงใต้
ติดกับยูเครน 
ทางใต้ ติดกับจอร์เจียและ  อาเซอร์ไบจาน
ทางตะวันออกเฉียงใต้
ติดกับคาซัคสถาน จีน มองโกเลียและเกาหลีเหนือ
- ความยาวของเส้นกั้นอาณาเขตทางบก  20,000  กิโลเมตร และทางน้ำ 38,000 กิโลเมตร
- ระยะทางจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตก  9,000 กิโลเมตรและจากทิศเหนือจรดใต้ 4,000 กิโลเมตร

 
เวลา
- พื้นที่ของรัสเซียครอบคลุม  11 เขตเวลา  ในขณะที่เขตคาลินินกราดทางตะวันตกสุดเป็นเวลา12.00 น. ที่คาบสมุทรคามชัตก้า (Kamchatka) ทางตะวันออกสุดจะเป็นเวลา  23.00 น.
-  ความต่างของเวลาระหว่างกรุงมอสโกกับกรุงเทพฯ  :  กรุงมอสโกช้ากว่ากรุงเทพฯ 3  ชั่วโมง    ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนตุลาคม  และช้ากว่า 4 ชั่วโมงระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม
 
ภูมิอากาศ

รัสเซียมีเขตภูมิอากาศที่หลากหลายและแตกต่างระหว่างกันอย่างมาก  มีฤดูหนาวยาวนาน อากาศหนาวจัดและพื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยหิมะเป็นเวลานานถึง 6 เดือนโดยมีสภาพอากาศ หลากหลาย ดังนี้

หนาวจัดแบบอาร์คติก บริเวณตอนกลางทางเหนือของประเทศและเขตไซบีเรีย โดยมีอุณหภูมิต่ำสุดวัดได้ที่สาธารณรัฐยาคูเตีย (Yakutia)ในฤดูหนาว –45 ถึง –50 องศาเซลเซียส  

-  สภาพอากาศแบบภาคพื้นทวีป (continental)ในบริเวณส่วนใหญ่ของประเทศทั้งในเขตยุโรปและเอเชียรวมทั้งกรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งมีสภาพอากาศร้อนจัดและหนาวจัด และแปรปรวนอย่างรวดเร็ว โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูหนาว  0 ถึง -10  ในขณะที่ในฤดูร้อนมีอุณหภูมิสูงสุดถึง 30 ถึง 35  องศาเซลเซียสและจะกลับมาเย็นจัดในเวลาเดียวกันเมื่อฝนตก

-  สภาพอากาศอบอุ่นแบบชายฝั่งทะเลที่เขตคาลินิกราด (Kaliningrad)ทางทะเลบอลติกและเมืองท่าวลาดิวอสต๊อค(Vladivostok)ของภาคปกครองพรีมอร์สค์ทางมหาสมุทรแปซิฟิกโดยมีอุณหภูมิเฉลี่ย  0-10 องศาเซลเซียสในฤดูหนาวและ 15 ถึง 25 องศาเซลเซียสในฤดูร้อน 

-  สภาพอากาศแบบกึ่งร้อนชื้นที่เมืองท่าโนโวรัสซีสสค์ (Novo-Russyssk) และเมืองตากอากาศ โซชิ (Sochi)ทางบริเวณตอนไต้ของประเทศซึ่งมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยทั้งปีระหว่าง 15 ถึง 25 องศาเซลเซียส

กรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมีอุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงฤดูร้อนระหว่าง 15 ถึง 30 องศาสลับฝน  ส่วนอุณหภูมิในฤดูหนาวอยู่ระหว่าง 5 ถึง –15 องศาเซลเซียส ไม่ปรากฏพายุหิมะหรือพายุน้ำแข็งบ่อยครั้งเหมือนทวีปอเมริกาเหนือ

 
รู้รอบรัสเซีย  :   ช่วงเวลาในการเคาะประตูบ้านของรัสเซีย
      ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการติดต่อราชการและธุรกิจกับรัสเซียคือระหว่างเดือน กันยายนถึงกลางเดือนธันวาคม และกลางเดือนมกราคมถึงปลายเดือนมิถุนายน  สำหรับ คนไทยทั่วไปและนักท่องเที่ยวคือช่วงระหว่างกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงกลางเดือนตุลาคม
 
ทรัพยากรธรรมชาติ

กล่าวกันว่า รัสเซียเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิดที่บันทึกไว้ในตารางเคมี มีแร่โลหะและอโลหะมากกว่าร้อยละ 30 ของแหล่งสำรองของโลก  มีก๊าซธรรมชาติมากกว่าร้อยละ 30 ของแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติของโลก  มีน้ำมันดิบมากกว่าร้อยละ 15 ของน้ำมันดิบสำรองของโลก   รวมทั้งมีแร่ธาตุที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และรัตนชาติ เช่น เงิน  เพชร  มรกต และอื่นๆ

 

รู้รอบรัสเซีย  :   ทรัพยากรที่มีคุณค่าที่สุดในรัสเซีย
      กล่าวกันว่า ทรัพยากรที่ทรงคุณค่าที่สุดที่รัสเซียมีคือทรัพยากรมนุษย์  ซึ่งองค์การยูเนสโกยอมรับว่า รัสเซียเป็นประเทศที่มีผู้คนอ่านออกเขียนได้มากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นร้อยละ 99 ของประชากรทั้งประเทศ

 
สภาพแวดล้อม

มลภาวะทางอากาศที่เกิดจากการเผาไหม้ในโรงงานอุตสาหกรรม โรงกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหิน เป็นเชื้อเพลิง และท่อไอเสียของรถยนต์ พบได้ตามเมืองใหญ่ทุกแห่ง  ภาวะน้ำเสียปรากฏตาม เส้นทางเดินเรือภายในประเทศ  การบำบัดน้ำเสียที่ไม่ได้รับการปรับปรุงให้มีมาตรฐานตาม สุขอนามัย   และมีการใช้สารเคมีในดินที่เป็นแหล่งเกษตรกรรมเกินมาตรฐาน  

 
ประชากร

ประชากรในรัสเซียมีจำนวนประมาณ 144.2 ล้านคน   (2004)  หรือประมาณร้อยละ 2.4 ของจำนวนประชากรโลกในปีค.ศ. 2004 ความหนาแน่นของประชากรโดยเฉลี่ยทั้งประเทศ 8.7 คน ต่อ 1 ตารางกิโลเมตร  ในขณะที่ในเมืองใหญ่เช่นกรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก จะมีความหนาแน่นของประชากร 8,600 คนใน 1 ตารางกิโลเมตรและ 7,768 ใน 1 ตารางกิโลเมตรตามลำดับ

รัสเซียเป็นประเทศหลากเชื้อชาติ  มีชนชาติต่างๆ มากกว่า 120 เชื้อชาติโดยเป็นชาวรัสเซียร้อยละ 80 ของประชากรทั้งหมด  ที่เหลือเป็นยูเครน ตาตาร์ อาร์เมเนียน โปล  ฟิน  เยอรมัน  เกาหลีและประชากรที่สืบเชื้อสายจากกลุ่มเชื้อชาติมองโกลอยด์

อายุเฉลี่ยของชาวรัสเซีย  67.66 ปี

ประชากรมากกว่าร้อยละ 72 อาศัยอยู่ในเขตเมือง  และร้อยละ 28 อยู่ในภาคเกษตรกรรมในชนบทมากกว่าร้อยละ 70 ของประชากรอยู่ในวัยทำงานคือระหว่าง 15-64 ปี  อัตราการขยายตัวของประชากร   -0.3   แสดงถึงแนวโน้มจำนวนประชากรลดลง คาดการณ์กันว่ารัสเซียจะมีจำนวนประชากรเหลือเพียง 120 ล้านคนภายในปี 2565

 
ภาษา

รัฐธรรมนูญรัสเซีย (มาตราที่ 68) กำหนดให้ภาษารัสเซียเป็นภาษาราชการ ทั้งนี้ รวมไปถึงหนังสือติดต่อราชการ การประกาศโฆษณาและติดฉลากสินค้าที่ต้องใช้ภาษารัสเซียด้วย  แต่ในภาคธุรกิจ ยอมรับการใช้ภาษาต่างประเทศในการสื่อสาร อาทิ ภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมัน

สำหรับสาธารณรัฐที่อยู่ในการปกครองของรัสเซีย 21 แห่ง ให้ใช้ภาษารัสเซียและภาษาท้องถิ่นของตนเป็นภาษาราชการ

 
ศาสนา

ร้อยละ 90 ของประชากรในรัสเซียนับถือศาสนาคริสต์นิกายรัสเชี่ยนออร์โธดอกซ์ ประมาณร้อยละ 6  นับถือศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่ (ในสาธารณรัฐตาตาร์สถาน สาธารณรัฐบาชคอร์ตอสถาน สาธารณัฐดาเกสถาน  สาธารณรัฐเชชเนียและ สาธารณรัฐคาบาร์ดิโน-บัลคาเรีย )

 

รู้รอบรัสเซีย  :   พุทธศาสนาในรัสเซีย
ในรัสเซียมีประชากรที่นับถือศาสนาพุทธมหายานสายทิเบตอาศัยอยู่ในส่วนต่างๆ โดยเฉพาะในสาธารณรัฐบูรียาเทีย สาธารณรัฐคาลมึยเคีย และสาธารณรัฐตูวา

 

วัด Ivolginsky Datsan ในสาธารณรัฐ
บูริยาเทีย  ซึ่งรัฐบาลไทยได้มอบเงินบริจาค
เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในบูริยาเทีย
อย่างต่อเนื่อง ผ่านสถานเอกอัครราชทูต
ณ กรุงมอสโก

 
       
     
 
 
 
 
สกุลเงิน

รูเบิล (rubles- RUR)

อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) = RUR  28 (ณ วันที่ 1 มีนาคม 2549)

 
 

ประวัติศาสตร์

 

         รัสเซียปรากฏขึ้นเป็นรัฐชาติ (state-nation) ครั้งแรกในตอนปลายศตวรรษที่ 10 หรือในปี ค.ศ. 988 ซึ่งเป็นปีที่รัสเซียรับเอาศาสนาคริสต์มาเป็นศาสนาประจำชาติโดยมีอาณาเขตของรัฐอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำ ดเนียโปร (Dniepr)  มีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่เมืองเคียฟ เมืองหลวงของประเทศยูเครนในปัจจุบัน  อาณาจักรรัสเซียโบราณเรียกตนเองว่ารุสแห่งเคียฟ (Kievan Rus)  โดยเมืองเคียฟเป็นรอยต่อที่สำคัญของเส้นทางการค้าทางเรือที่เชื่อมระหว่างทะเลบอลติกกับทะเลเมดิเตอเรเนียนซึ่งเป็นเส้นทางที่ชาวไวกิ้งจากทะเลบอลติกเป็นผู้บุกเบิกและเชื่อกันว่าชาวไวกิ้งที่มาจากพื้นที่บริเวณที่ชาวสวีเดนเรียกว่ารูสลาเกน (Ruslagen) ในประเทศสวีเดนในปัจจุบัน เป็นผู้รวบรวมชาวรัสเซียที่กระจัดกระจายอยู่ตามแว่นแคว้นต่างๆ ในบริเวณลุ่มแม่น้ำดเนียโปรและแม่น้ำสายเล็กสายน้อยสาขาของทะเลบอลติกให้เป็นปึกแผ่นและสร้างเมืองการค้าตามบริเวณลุ่มแม่น้ำจากทะเลบอลติกลงมา เช่น เมืองนอฟกอร็อด (Novgorod) และเมืองพสค็อฟ (Pskov) โดยให้เมืองเคียฟเป็นศูนย์อำนาจของอาณาจักรรุสหรือรุสเซียโบราณ จึงพอจะสันนิษฐานในชั้นนี้ได้ว่าชื่อประเทศรัสเซียในปัจจุบันซึ่งแผลงมาจากคำว่ารุส (Rus) ในอดีตนั้นน่าจะมีที่มาจากชื่อเรียกดินแดนรูสลาเก้นของสวีเดน

         ศูนย์กลางของอาณาจักรรัสเซียโบราณย้ายจากเมืองเคียฟไปยังเมืองต่างๆ ตามความแข็งแกร่งและอำนาจของเจ้าผู้ครองแคว้น โดยในศตวรรษที่ 12 ศูนย์อำนาจของอาณาจักรรัสเซียย้ายไปอยู่ที่เมืองวลาดิมีร์-ซุสดาล (Vladimir-Suzdal) และเมืองนอฟกอร็อดในเวลาต่อมา  ก่อนที่จะถูกอนารยชนมองโกล-ตาตาร์เข้ายึดครองเป็นเวลาถึง 250 ปี ตั้งแต่ปีค.ศ. 1237   ถึงปีค.ศ. 1480 และในที่สุดศูนย์กลางของอาณาจักรรัสเซียก็ได้ย้ายจากวลาดิมีร์-ซุสดาลมาอยู่ที่เมืองมอสโกภายหลังที่เจ้าชายอีวานที่ 3 หรืออีวานมหาราช เจ้าผู้ครองแคว้นมอสโกประกาศปลดปล่อยรัสเซียออกจากแอกของมองโกล-ตาตาร์ได้สำเร็จในปีค.ศ. 1480

         เจ้าชายอีวานมหาราชตั้งตนเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรรัสเซียที่มีมอสโกเป็นศูนย์กลาง สร้างมหาวิหารชาวคริสต์ในพระราชวังเครมลินฉลองชัยชนะเหนือมองโกล-ตาตาร์โดยให้มีไม้กางเขนปักพระจันทร์เสี้ยวหงายท้อง เสียบอยู่บนยอดวิหารเพื่อเป็นอนุสรณ์ของชัยชนะเหนืออาณาจักรมองโกล-ตาตาร์ผู้นับถือศาสนาอิสลามที่ใช้พระจันทร์เสี้ยวเป็นสัญลักษณ์ และต่อมาประกาศให้มอสโกเป็นผู้สืบทอดอำนาจของอาณาจักรโรมันตะวันออกต่อจากกรุงคอนสแตนติโนเปิลด้วยการอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงโซ ปาเลโอลูกุส แห่งอาณาจักรไบเซนไทน์รวมทั้งนำสัญลักษณ์นกอินทรีย์สองเศียรของอาณาจักรไบเซนไทน์มาเป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรรัสเซีย    ต่อมากษัตริย์อีวานที่ 4 หรืออิวานจอมโหด หลานของอิวานมหาราช ได้ตั้งตนเองเป็นผู้นำโลกชาวคริสต์ด้วยการนำตำแหน่งซาร์ (Czar) ซึ่งมาจากซีซาร์ (Caesar) มาใช้เรียกแทนตำแหน่งกษัตริย์รัสเซียเป็นครั้งแรก อันเป็นการแสดงถึงการอ้างสิทธิผู้สืบอำนาจของอาณาจักรโรมันทั้งตะวันตกและตะวันออกอย่างสมบูรณ์ 

         รัสเซียขยายเขตอาณาของตนออกไปในทุกทิศทุกทางระหว่างศตวรรษที่ 14-16 เข้ายึดครองอาณาจักรของตาตาร์ในบริเวณลุ่มแม่น้ำโวลก้าและเทือกเขายูราล  บุกเข้าแคว้นไซบีเรียจนถึงดินแดนในภาคตะวันออกไกลที่เป็นเขตเก่าภายใต้การระบอบปกครองของมองโกล    ในปีค.ศ. 1613 มิฮาอิล โรมานอฟปราบดาภิเษกขึ้นเป็นซาร์แห่งรัสเซียและสถาปนาราชวงศ์โรมานอฟขึ้นปกครองรัสเซีย   

         รัสเซียทำสงครามกับสวีเดนระหว่างปี ค.ศ. 1700-1721 เพื่อแย่งชิงทางออกสู่ทะเลบอลติกและทำสงครามกับอาณาจักรออโตมันเติร์กระหว่างปีค.ศ.1789-1791  เพื่อแย่งชิงทางออกสู่ทะเลดำ   ทำสงครามกับฝรั่งเศสในปีค.ศ. 1812 เพื่อต่อต้านการเข้ายึดครองของจักรพรรดินโปเลียน  ราชวงศ์โรมานอฟปกครองรัสเซียจวบจนกระทั่งซาร์นิโคลัสที่ 2 ถูกโค่นล้มราชบัลลังก์พร้อมการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชในรัสเซีย ในระหว่างการปฏิวัติสังคมนิยมในปีค.ศ. 1917

         การปฏิวัติรัสเซียได้นำมาซึ่งการปกครองระบอบสังคมนิยมที่มีวลาดิมีร์ เลนินเป็นผู้นำ   และสถาปนาสาธารณรัฐสังคมนิยมสหภาพโซเวียตรัสเซียขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1918-1922  ซึ่งต่อมาเป็นสหภาพโซเวียต ระหว่างปีค.ศ. 1922-1991  หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์ในดินแดนอาณานิคมของรัสเซียทั้งในเขตคอเคซัสและเอเชียกลางได้เข้ายึดอำนาจจนสำเร็จ

         รัสเซียภายใต้สหภาพโซเวียตถูกปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จนถึงปี ค.ศ. 1985 เมื่อนายมิฮาอิล กอร์บาชอฟ ก้าวขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตพร้อมดำเนินนโยบายการปฏิรูประบบสังคมนิยมภายใต้ยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเปิดเสรีทางการเมือง (perestroika และ glasnost) ซึ่งเป็นผลจากการเสื่อมโทรมของระบบสังคมนิยมและการสูญเสียภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหญ่ของสหภาพ  โซเวียตภายหลังการพ่ายแพ้ในสงครามในอัฟกานิสถาน(ค.ศ.1979-1989)

         การเปิดเสรีทางการเมืองของประธานาธิบดีกอร์บาชอฟนำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปีค.ศ. 1991 รัสเซียภายใต้สหภาพโซเวียตได้สถาปนาระบบประชาธิปไตยในรูปแบบสหพันธรัฐ โดยมีประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน เป็นผู้นำประเทศและเป็นประธานาธิบดีคนแรกของรัสเซียที่มาจากการเลือกตั้งทางตรง  ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตยและจัดตั้งระบบรัฐสภาสมัยใหม่เข้าแทนที่สภาโซเวียตในปีค.ศ. 1993   ดำเนินการปฏิรูประบบเศรษฐกิจจากการวางแผนส่วนกลางไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดจนประสบความสำเร็จในปัจจุบันพร้อมกับการก้าวขึ้นสู่อำนาจของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินในปีค.ศ. 1999

 

 

ระบอบการปกครอง
 

1.  รูปแบบการปกครองและหน่วยการปกครอง

         รัสเซียมีรูปแบบการปกครองแบบสหพันธรัฐ  ประกอบด้วยหน่วยการปกครองที่เป็นอิสระ 89 หน่วย แบ่งเป็น 21 สาธารณรัฐ (Republic)  6  เขตปกครอง (Krai)  49 มณฑล (Oblast)  2 นคร (Federal cities) ได้แก่ กรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กซึ่งมีสถานภาพเดียวกับมณฑล  10  ภาคปกครองตนเอง(autonomous Okrug)   และ 1 มณฑลปกครองตนเอง (Autonomous Oblast)

         หน่วยการปกครองทั้ง 89 แห่งอาจแบ่งออกได้เป็น 2  ประเภท คือ หน่วยการปกครองที่แบ่งตามหลักเชื้อชาติ และหน่วยการปกครองจากส่วนกลาง

        หน่วยการปกครองตามหลักเชื้อชาติ

         สาธารณรัฐ  ภาคปกครองตนเอง และมณฑลปกครองตนเองเป็นหน่วยปกครองอิสระที่แบ่งตามลักษณะเชื้อชาติ    แต่สาธารณรัฐมีอำนาจอธิปไตยจากรัฐบาลกลางในระดับหนึ่ง  มีธรรมนูญการปกครองของตัวเอง  และมีรูปแบบการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐซึ่งประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งประมุขซึ่งโดยมากมีตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีของตนเองได้ รวมทั้งการเลือกตั้งคณะรัฐบาลและผู้แทนเข้าไปนั่งในรัฐสภาด้วย ส่วนมณฑลปกครองตนเองและเขตปกครองตนเองมีรูปแบบการปกครองในลักษณะคณะผู้บริหารซึ่งมี ผู้ว่าราชการแต่งตั้งมาจากส่วนกลางหรือเลือกตั้งทางตรง

        หน่วยการปกครองจากส่วนกลาง

        มณฑล เขตปกครอง  กับกรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นหน่วยปกครองที่มิได้ยึดถือหลักเชื้อชาติ เป็นหน่วยปกครองท้องถิ่นที่กระจายลงมาจากส่วนกลาง สำหรับปกครองหน่วยพื้นที่ที่ประชากรส่วนข้างมากเป็นชาวรัสเซีย มีรูปแบบการปกครองในลักษณะคณะผู้บริหารซึ่งสั่งการลงมาจากส่วนกลางและมีผู้ว่าการ (Governor) เป็นหัวหน้าคณะผู้บริหาร

        ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางที่กรุงมอสโกกับหน่วยปกครองทั้ง 89 หน่วย

        ความสัมพันธ์โดยเฉพาะระหว่างรัฐบาลกลางที่กรุงมอสโกกับหน่วยปกครองทั้ง 89 หน่วย โดยเฉพาะกับสาธารณรัฐต่างๆ ทั้ง 21 แห่งถูกกำกับโดยสนธิสัญญาสหพันธ์ซึ่งเป็นข้อตกลงทวิภาคีระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลหน่วยปกครองในการจัดแบ่งอำนาจอธิปไตย  สิทธิการจัดการและแบ่งปันทรัพยากรที่อยู่ในครอบครองของหน่วยปกครองและสิทธิการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศของหน่วยปกครอง     ทั้งนี้ ควรตั้งเป็นข้อสังเกตว่า หากนักธุรกิจจะดำเนินการทางธุรกิจใดๆ กับหน่วยปกครองต่างๆ ควรต้องศึกษาสัญญาสหพันธ์ที่หน่วยการปกครองนั้นๆทำกับรัฐบาลกลางด้วย เพื่อความชัดเจนว่าเรื่องไหนที่รัฐบาลท้องถิ่นมีสิทธิตัดสินใจได้และเรื่องใหนอยู่ในขอบเขตการตัดสินใจของรัฐบาลกลาง

 

 

2.   ระบบบริหารส่วนกลาง

        ประมุขของประเทศ

        ในระบบสหพันธรัฐของรัสเซียมีประธานาธิบดีเป็นประมุขและทำหน้าที่ผู้นำสูงสุดของฝ่ายบริหาร  เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของเหล่าทัพ ให้ความเห็นชอบหลักนิยมทางทหารรับผิดชอบการดำเนินนโยบายภายในประเทศและต่างประเทศ  ประธานาธิบดีใช้อำนาจโดยผ่านการประกาศคำสั่งประธานาธิบดี (decree)  และการใช้อำนาจยับยั้งการออกกฎหมาย (veto)   ประธานาธิบดีมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรีและผู้ว่าการธนาคารกลางโดยความเห็นชอบจากรัฐสภา   มีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลโดยความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี  ประธานาธิบดีมีอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนผู้บัญชาการเหล่าทัพ  มีอำนาจสั่งการโดยตรงต่อรัฐมนตรีกระทรวงหรือหน่วยงานด้านความมั่นคง เช่น กระทรวงกลาโหม  กระทรวงมหาดไทย  สำนักงานความมั่นคงแห่งรัฐหรือ FSB และสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ  ประธานาธิบดี  มีอำนาจยุบสภาตามขอบเขตของรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ประธานาธิบดียังมีสำนักงานที่พระราชวังเครมลินซึ่งมีเครื่องมือและกลไกทำหน้าที่กำหนดนโยบายและสั่งการในเรื่องที่สำคัญที่เกี่ยวกับนโยบายภายในและต่างประเทศ

        ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งสมัยละ 4 ปีและอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย  ประธานาธิบดีของรัสเซียคนปัจจุบันคือนายวลาดิมีร์ วลาดิมีโรวิช ปูติน  ซึ่งได้รับการเลือกตั้งในสมัยแรกเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2000 และได้เป็นประธานาธิบดีในสมัยที่สองในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2004

        ฝ่ายบริหาร

             นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลและทำหน้าที่รักษาการประธานาธิบดีเมื่อประธานาธิบดียุติการทำหน้าที่  มีอำนาจสั่งการและบริหารราชการกระทรวงทบวงกรมทั้งหมดยกเว้นหน่วยราชการด้านความมั่นคง

             คณะรัฐบาลส่วนกลางของรัสเซียประกอบด้วยหน่วยราชการระดับกระทรวง (Ministry)  16 กระทรวงซึ่งมีรัฐมนตรี (Minister)กำกับดูแล  ได้แก่

  • กระทรวงมหาดไทย
  • กระทรวงป้องกันภัยทางพลเรือน  สถานการณ์ฉุกเฉินและขจัดภัยพิบัติทางธรรมชาติ  
  • กระทรวงการต่างประเทศ
  • กระทรวงกลาโหม
  • กระทรวงยุติธรรม
  • กระทรวงสาธารณสุขและการพัฒนาสังคม
  • กระทรวงวัฒนธรรมและสื่อสารมวลชน
  • กระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์
  • กระทรวงพัฒนาการเศรษฐกิจและการค้า
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
  • กระทรวงอุตสาหกรรมและพลังงาน
  • กระทรวงการพัฒนาภูมิภาค
  • กระทรวงเกษตร
  • กระทรวงการขนส่ง
  • กระทรวงสารสนเทศและการสื่อสาร
  • กระทรวงการคลัง

             ระดับสำนักงาน  (Federal Service)  แบ่งออกได้เป็น

             1.  สำนักงานที่ขึ้นต่อประธานาธิบดีโดยตรงและมีฐานะเทียบเท่าระดับกระทรวง  7  สำนักงาน  ได้แก่

  • สำนักงานสารบรรณราชการ
  • สำนักงานข่าวกรองต่างประเทศ
  • สำนักงานความมั่นคงแห่งรัฐ
  • สำนักงานควบคุมการแพร่ยาเสพติด
  • สำนักงานรักษาความปลอดภัยภายใต้ประธานาธิบดี
  • สำนักงานโครงการพิเศษภายใต้ประธานาธิบดี
  • สำนักบริหารประธานาธิบดี

             2.  สำนักงานที่ขึ้นต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรงและมีฐานะระดับกระทรวง  11  สำนักงาน  โดยในเวลามีการประชุมคณะรัฐมนตรีที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน หัวหน้าสำนักงานนี้จะเข้าร่วมโดยตามลำดับพิธีจะนั่งอยู่ในแถวที่ 2 ของคณะรัฐมนตรี แต่จะไม่ได้เข้าร่วมในการประชุมที่ประธานาธิบดีเป็นประธาน ได้แก่

  • สำนักงานต่อต้านการผูกขาด
  • สำนักงานสรรพากร
  • สำนักงานอุตุนิยมและดูแลสภาพแวดล้อม
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • สำนักงานตลาดหลักทรัพย์
  • สำนักงานควบคุมและติดตามระบบนิเวศ  การใช้เทคโนโลยี่และการใช้พลังงานปรมาณู
  • สำนักงานพลังงานปรมาณู
  • สำนักงานพัฒนาอวกาศ
  • สำนักงานการท่องเที่ยว
  • สำนักงานพลศึกษาและการกีฬา   

             ระดับสำนักงานภายใต้กระทรวง  (Federal Service)   สำนักงานความร่วมมือด้านเทคนิคการทหารซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหม เป็นต้น

             ฝ่ายนิติบัญญัติ

             รัฐสภาของรัสเซียเป็นระบบ 2 สภา  (Bicameral Parliament)   คือสภาสหพันธ์ (Federation Council)  และสภาดูมาหรือสภาผู้แทนราษฎร (State Duma)

             สภาสหพันธ์หรือวุฒิสภามีหน้าที่ให้การรับรองในเรื่องสำคัญต่างๆ ดังนี้ การเปลี่ยนเส้นพรมแดนระหว่างหน่วยปกครองของสหพันธ์   การประกาศคำสั่งของประธานาธิบดีในการประกาศสงคราม ลงมติในเรื่องการใช้กำลังทหารนอกประเทศ และการกำหนดการเลือกตั้งประธานาธิบดี สภาสหพันธ์ประกอบด้วยสมาชิก 178 คน มาจากผู้แทนของหน่วยปกครองของสหพันธรัฐรัสเซีย 89 แห่งๆละ 2 คน เป็นฝ่ายบริหาร 1 คนและฝ่ายนิติบัญญัติอีก 1คน

             สภาดูมา (“ดูมา” เป็นภาษารัสเซียแปลว่าสติปัญญา  เป็นชื่อที่เรียกตามสภาในสมัยสมบูรณาสิทธิ-ราช) มีหน้าที่ให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยประธานาธิบดี  ลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐบาล   ประกาศการอภัยโทษ   ตั้งกระทู้กล่าวโทษความผิดของประธานาธิบดีเพื่อถอดถอนประธานาธิบดีออกจากตำแหน่ง

             สภาดูมาประกอบด้วยสมาชิก 450 คน เป็นสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 250 คน และเป็นสมาชิกสภาแบบบัญชีรายชื่อพรรคอีก 250 คน   มีวาระ 4ปี

             ฝ่ายตุลาการ

             ระบบตุลาการของรัสเซียประกอบด้วยสถาบันศาลสูง 3 สถาบัน ได้แก่

             ศาลรัฐธรรมนูญ(Constitutional Court)ทำหน้าที่พิจารณาประเด็นข้อกฎหมายที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ และตีความการขัดกันเองของรัฐธรรมนูญ   

             ศาลฎีกา (Supreme Court) พิจารณาคดีข้อพิพาททางอาญา  ทางแพ่งและทางการปกครอง 

            ศาลอุทธรณ์ทางการค้า (Court of Arbitration) พิจารณาคดีและข้อพิพาททางการค้า และสำนักงานอัยการสูงสุด (General Prosecutor)

 

นโยบายต่างประเทศ

 

            รัสเซียยังอยู่ในระยะการกำหนดสถานะและตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของตนเองในระบบการเมืองของโลกภายหลังสงครามเย็น  การดำเนินนโยบายต่างประเทศของรัสเซียในปัจจุบันมีเป้าหมายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางสากลที่จะเป็นผลดีต่อรัสเซียในการพัฒนาเศรษฐกิจของรัสเซีย โดยให้ความสำคัญกับการแสวงหาการสนับสนุนทางเศรษฐกิจ  การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและการได้รับการยอมรับในเวทีสากลเป็นนโยบายลำดับที่หนึ่ง   มิติทางการเมืองในนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะ การช่วงชิงฐานะทางภูมิรัฐศาสตร์ และการสร้างดุลอำนาจทางการเมืองมีความสำคัญน้อยลงไป

            การปรับปรุงสัมพันธภาพกับสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตกเป็นความจำเป็น แม้จะถูกทดสอบใน$