ใครก็ตามที่ได้ไปประเทศรัสเซีย น้อยคนนักที่จะไม่ไปเยือนนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และส่วนใหญ่ที่ไปจะรู้จักดีถึงปีเตอร์ฮอฟ (Peterhof) พระราชวังฤดูร้อนของพระเจ้าซาร์ วังเซนต์แคเธอรีน (Catherine’s Palace) ที่ประทับของพระนางเจ้าแคเธอรีนมหาราช และเฮอร์มิเตจ (The Hermitage) พระราชวังฤดูหนาวที่เลื่องชื่อ มีไม่น้อยที่ไปไกลถึงวังยูซูปอฟ (Yusupov) คฤหาสน์ของเจ้าชายเฟลิกซ์ (Felix Yusupov) ยูซูปอฟ สถานที่สังหารรัสปูติน (Rasputin) พระผู้อื้อฉาว แต่เชื่อว่าทุกคนที่ไปถึงนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ยากเต็มทีที่จะหาใครสักคนที่พอจะรู้ว่า ถัดจากพระราชวังฤดูหนาวไปทางซ้ายเพียงแค่ช่วงตึกเดียวเท่านั้น มีตึกสีน้ำตาลหม่นๆ ตั้งอยู่ และตึกนี้เมื่อร้อยปีที่แล้ว คือที่ตั้งของสถานราชทูตไทยประจำประเทศรัสเซีย
สถานราชทูตไทย มีที่อยู่ทางการเป็นตึกเลขที่ 6 ถนนเลียบฝั่งแม่น้ำกระทรวงราชนาวี เป็นตึกที่มีทรงสถาปัตยกรรมแบบ Eclectic ทาสีแดงอมน้ำตาล ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนียวา (Neva) แม่น้ำสายสำคัญของนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ตึกนี้ตั้งอยู่ในหมู่เดียวกับตึกที่ทำการของกระทรวงราชนาวีรัสเซีย และอยู่ถัดจากพระราชวังฤดูหนาว วังหลวงที่จักรพรรดิรัสเซียแห่งราชวงศ์โรมานอฟตั้งแต่พระนางเจ้าแคเธอรีนมหาราช เป็นต้นไปทุกพระองค์ใช้เป็นที่ประทับ ออกไปเพียงแค่สองหลัง โดยมีตึกเลขที่ 2 ซึ่งเป็นที่ทำการของกระทรวงราชนาวีของรัสเซียและตึกเลขที่ 4 ซึ่งเป็นโรงละครหลวงคั่นอยู่เพียงสองตึกเท่านั้น ราวกับจะบอกให้ใครๆ รู้ว่า สยามแม้จะไกลถึงเอเชีย แต่ก็อยู่ในสายตาของจักรพรรดิรัสเซีย
ตึกเลขที่ 6 หลังนี้เป็นตึก 5 ชั้น สร้างในระหว่างปีค.ศ.1879-1880 โดยเจ้าของตึกเป็นสุภาพสตรีชื่อนางตาติยานา มาคาโรว่า สร้างเพื่อให้เช่าอยู่อาศัย ดังนั้นการออกแบบโครงสร้างภายในตัวตึกจึงมีลักษณะเป็นบ้านพักอาศัยตามคติของคนยุโรปที่มีการแบ่งเนื้อที่ใช้สอยในตัวตึกให้เป็นส่วนๆแบบอพาร์ตเมนต์ในปัจจุบัน ซึ่งอาจดัดแปลงให้เป็นที่อยู่อาศัยก็ได้ หรือจะเป็นสำนักงานก็ได้ ฉะนั้น ตัวตึกจึงมีผู้คนอาศัยมากกว่าหนึ่งครอบครัว หรือถ้าเป็นที่ทำการ ก็จะมีมากกว่าหนึ่งสำนักงานตั้งอยู่ในบ้านเลขที่ 6 นี้
ที่ตั้งของสถานราชทูตไทย ตั้งอยู่บนชั้นที่สองของตึก ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 700 ตารางเมตร แบ่งออกเป็น สำนักงานสถานราชทูต และทำเนียบของอัครราชทูตผู้เป็นหัวหน้าสำนักงาน ในสัดส่วนของพื้นที่ที่ใกล้เคียงกัน แม้ว่าไทยและรัสเซียจะได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันตั้งแต่ปี ค.ศ.1897 ซึ่งก็คือปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสรัสเซียอย่างเป็นทางการ และแม้ว่าจะมีหลักฐานบ่งบอกว่ารัฐบาลสยามได้แต่งตั้งราชทูตประจำกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กคนแรกตั้งแต่ปลายปีค.ศ. 1897 แล้ว แต่กว่าที่ตึกเลขที่ 6 หลังนี้ จะเป็นสำนักงานของสถานราชทูตไทยอย่างเป็นทางการ ก็ล่วงเลยไปจนถึงปีค.ศ.1900
ราชทูตไทยคนแรกประจำประเทศรัสเซียคือพระยาสุริยานุวัตร เป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำกรุงปารีสและได้รับแต่งตั้งให้เป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำประเทศรัสเซียโดยมีถิ่นที่พำนักในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ.1897 โดยดำรงตำแหน่งดังกล่าวจนถึงปี ค.ศ. 1989 รัฐบาลสยามจึงได้ส่งพระชลบุรีนุรักษ์มาเป็นราชทูตคนที่สองประจำประเทศรัสเซีย ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1989 และเป็นราชทูตคนแรกของไทยที่มีถิ่นที่พำนักในประเทศรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม แม้พระชลบุรีนุรักษ์จะได้รับการเลื่อนยศขึ้นมาเป็นพระยามหิบาลบริรักษ์และมีตำแหน่งทางการทูตเป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำประเทศรัสเซีย แต่ก็มีฐานะเป็นผู้แทนส่วนพระองค์ประจำราชสำนักมากกว่าที่จะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูตของไทยประจำประเทศรัสเซียอย่างเป็นทางการ เข้าใจว่าราชทูตท่านนี้พำนักอยู่ในพระราชวังฤดูหนาว ทั้งนี้ น่าจะเป็นกุศโลบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองรัฐเป็นความสัมพันธ์พิเศษ(1)ระหว่างราชวงศ์เพื่อบรรลุจุดประสงค์ทางการเมืองในเวลานั้น เนื่องจากมีหลักฐานการยื่นพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ให้แก่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 โดยตรงจากพระมหิบาลบริรักษ์ โดยไม่ผ่านกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียแต่อย่างใดหลายฉบับ และขณะเดียวกันก็เป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ที่ต้องการให้พระยามหิบาลบริรักษ์ทำหน้าที่อภิบาลสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ(2)ในขณะที่ทรงศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยทหารมหาดเล็กคอร์ เดอ ปาฌ(3) และทรงประทับอยู่ในพระราชวังฤดูหนาวในฐานะพระโอรสบุญธรรมของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เป็นประการสำคัญด้วย
หลักฐานที่ระบุว่าคณะทูตไทยในสมัยของพระมหิบาลบริรักษ์มีที่ทำการอยู่ที่ตึกเลขที่ 6 พร้อมกับการย้ายที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถจากพระราชวังฤดูหนาวมาที่ชั้น 2 ของตึกเลขที่ 6 นี้ ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อต้นเดือนมกราคม ปี ค.ศ.1900 จากจดหมายของนายพุ่ม(4)ที่เขียนถึงนายพาเวล อาดราเชฟ ครูสอนภาษารัสเซียของเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ เมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1900(5) และจดหมายของนายพุ่ม ถึง ครูภาษารัสเซียคนเดียวกันเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 1900 ซึ่งหัวจดหมายระบุคำว่า สยามสโกเย ปาโซลสตวา (Siamskoye Posolstvo) หรือ “สถานราชทูตสยาม” เป็นครั้งแรกและถือเป็นหลักฐานชิ้นแรกที่ระบุว่าตึกเลขที่ 6 นี้ เป็นสำนักงานสถานราชทูตไทยอย่างเป็นทางการ การย้ายที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ น่าจะมีเหตุผลสำคัญมาจากการเสด็จเยือนรัสเซียของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธจากประเทศอังกฤษ เพื่อมาทรงเยี่ยมพระอนุชา ระหว่างวันหยุดคริสต์มาสปีค.ศ. 1899 ถึงวันที่ 10 มกราคม ค.ศ.1900 ซึ่งรัสเซียถือว่าเป็นการเยือนระดับราชวงศ์ของไทยที่สำคัญที่สุดนับจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสรัสเซียเมื่อปี ค.ศ. 1897 เป็นต้นมา(6) สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธได้รับพระราชวโรกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และเข้าเฝ้าพระมเหสีอเล็กซานดร้า ฟีโยดอรอฟน่า เป็นการส่วนพระองค์ด้วย และมีหลักฐานระบุว่าสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธทรงประทับอยู่ที่บ้านเลขที่ 6 นี้ตลอดการเยือน
พระยามหิบาลบริรักษ์เป็นหัวหน้าสำนักงานสถานราชทูตไทยจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1902 ก็พ้นจากตำแหน่ง และรัฐบาลสยามได้ส่งอัครราชทูตมาปฏิบัติงานที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กโดยมีสำนักงานที่บ้านเลขที่ 6 นี้อีก 3 ท่านได้แก่ พระยาศรีธรรมศาสน์(ค.ศ.1903-ค.ศ.1909) พระยาสุธรรมไมตรี(ค.ศ.1909-ค.ศ.1913) และพระวิศาลพจนกิจ(ค.ศ.1914-ค.ศ.1917)
รัฐบาลสยามมีเจ้าหน้าที่การทูตปฏิบัติหน้าที่ในบ้านเลขที่ 6 หลังนี้ตลอดระยะเวลา 18 ปี (ค.ศ.1899-ค.ศ.1917) จำนวน 11 คน โดยมีชาวฝรั่งเศสที่อยู่ในคณะทูตไทย 2 คน คือ M. Corragioni d’ Orelli ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาในสมัยที่พระยาสุริยานุวัตร เป็นอัครราชทูตในปี ค.ศ. 1897 และ M. Georges Cuissard de Grelle ซึ่งทำหน้าที่ในตำแหน่งแรกคือล่ามในสมัยพระยามหิบาลบริรักษ์ในปีค.ศ.1899 และมีความก้าวหน้าเป็นลำดับโดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการเอกในสมัยของพระยาศรีธรรมศาสน์ปี ค.ศ.1905 และเป็นที่ปรึกษาในสมัยของพระยาสุธรรมไมตรี ระหว่างปีค.ศ. 1912-ค.ศ.1914 มีข้อสังเกตเพิ่มเติมคือ การมีผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประจำสถานราชทูตซึ่งกว่าที่รัฐบาลสยามจะได้ส่งร้อยเอกพระทรงสุรเดช มาดำรงตำแหน่งเป็นคนแรก เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงปีค.ศ. 1912 แล้ว ซึ่งตรงกับสมัยที่พระสุธรรมไมตรีเป็นอัครราชทูต อาจสันนิษฐานได้ว่า การส่งข้าราชการสายทหารมาประจำที่ประเทศรัสเซียน่าจะเป็นความประสงค์ของรัฐบาลสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ให้มาทำงานการข่าวเพื่อติดตามสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังล่อแหลมในประเทศรัสเซีย รวมทั้งเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนสยามในรัสเซียที่สนับสนุนการปฏิวัติด้วย ทั้งนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวสัมพันธ์กับการปฏิวัติประชาธิปไตย(7)ที่นำโดยดร.ซุนยัดเซนในประเทศจีน(ค.ศ. 1911) และเป็นเวลาเดียวกันกับที่ได้มีการตีพิมพ์เผยแพร่บทความพระราชนิพนธ์เรื่อง “ลัทธิเอาอย่าง” เพื่อปรามกระแสปฏิวัติในกลุ่มข้าราชการยังเติร์กของสยามด้วย ผู้เขียนเชื่อว่ากระแสความคิดปฏิวัติคงซึมซ่านอยู่ในหัวของนักเรียนสยามในรัสเซียจริง เพราะนายพุ่มเองก็เป็นนักเรียนสยามคนหนึ่งที่เมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายทหารเสนาธิการแล้ว ก็ตัดสินใจไม่กลับประเทศ แต่เข้ารับราชการในกองพันทหารม้ารัสเซีย และแม้จะเป็นความจริงว่านายพุ่มหนีออกจากรัสเซียภายหลังเมื่อเกิดการปฏิวัติ แต่นายพุ่มก็เคยเข้าร่วมกับนายทหารรัสเซียฝ่ายนิยมการปฏิวัติอยู่ช่วงหนึ่งเช่นกัน(8)
แต่เดิมมีความเข้าใจกันว่ารัฐบาลสยามยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศรัสเซียในปีค.ศ. 1917 แต่จากการสืบค้นเพิ่มเติมในเอกสารนามสงเคราะห์ของกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช พบว่า รัฐบาลสยามมิได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัสเซียในปี ค.ศ. 1917 หรือทันทีที่พรรคบอลเชวิคของเลนินเข้ายึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ คณะทูตไทยเพียงแต่ย้ายที่ทำการจากตึกเลขที่ 6 ที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 ไปอยู่ที่เมืองโวล๊อกดา(Vologda) และเมืองอาร์คานเกลส์ (Arkhangels) ตามลำดับ แล้วจึงถอนตัวออกจากรัสเซียในช่วงปีปลายค.ศ. 1918 สันนิษฐานว่ารัฐบาลสยามยังไม่ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตในปีค.ศ. 1917 ในทันที แต่ให้ติดตามสถานการณ์ในรัสเซียโดยใกล้ชิด โดยเฉพาะชะตากรรมของพระเจ้าซาร์นิโคลัสและครอบครัวที่ถูกฝ่ายบอลเชวิคจับกุม จนแน่ใจว่ารัสเซียเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอย่างแน่นอนแล้ว จึงถอนสถานราชทูตออกจากรัสเซียอย่างเด็ดขาด
ภายหลังการปฏิวัติสังคมนิยมในรัสเซีย ตึกเลขที่ 6 ได้ถูกยึดเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลสังคมนิยมและปรับผังของสถานราชทูตในชั้นที่ 2 ให้เป็นอพารต์เมนต์แบบคอมมูนสำหรับผู้มีรายได้น้อยเข้าอยู่อาศัยจนถึง ปี ค.ศ. 1970 คณะกรรมการบริหารทรัพย์สินของนครเลนินกราด(9)มีมติให้ทุบทำลายตึกหลังนี้ทิ้งเนื่องจากที่ตั้งของบ้านบดบังทัศนียภาพของตึกกระทรวงราชนาวี แต่ไม่ได้ดำเนินการเนื่องจากผู้บริการนครมีงบประมาณไม่เพียงพอในการดำเนินการทุบทำลายตึก ตึกเลขที่ 6 จึงตั้งเด่นเป็นสง่ามาจนถึงทุกวันนี้
ตึกเลขที่ 6 แม้ในปัจจุบันก็ยังจัดว่าตั้งอยู่ในทำเลเกียรติยศแห่งหนึ่งของนครเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ติดกับพิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจซึ่งก็คือพระราชวังฤดูหนาวในอดีต ตึกหมายเลข 2 คือกองบัญชาการกองทัพเรือ ซึ่งก็คือกระทรวงราชนาวีในอดีต ตึกหมายเลข 8 ถัดออกไปคืออดีตวังของเจ้าชายมิฮาอิล มิไฮโลวิชซึ่งมีชะตาชีวิตคล้ายคลึงกับสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ ที่แอบไปสมรสนอกประเพณีกับสามัญชนชาวต่างชาติจนถูกเพิกสิทธิ์การขึ้นครองอำนาจในเวลาต่อมา(10) ถัดออกไป คือ ตึกหมายเลข 10 อดีตบ้านพักของนายจอร์ช ลารอช ศิษย์เอกชาวฝรั่งเศสของคีตกวีรัสเซียปีเตอร์ ไชคอฟสกี้ และฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเนียวา เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ปัจจุบัน ในตัวตึกเลขที่ 6 แบ่งเป็นที่ทำการของธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง เป็นสำนักงานทางธุรกิจสำหรับหลายบริษัท และบางส่วนยังเป็นอพารต์เมนต์สำหรับการเช่าอาศัย สำหรับพื้นที่ชั้นที่ 2 ของบ้านซึ่งแต่เดิมเป็นสถานราชทูตสยามและทำเนียบราชทูตสยามนั้น ยังคงเป็นอพารต์เมนต์อยู่จน ณ วันนี้